โลกของการทำงานเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของเทคโนโลยีและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น การเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสมกลายเป็นคำถามสำคัญที่ทั้งองค์กรและบุคลากรต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานแบบ Full-time หรืองาน Freelance ต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ซึ่ง PPD Greatest จะวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมของแต่ละรูปแบบ พร้อมทั้งเจาะลึกถึงบทบาทของ การจัดหาพนักงาน ในบริบทของการทำงานยุคใหม่

ความแตกต่างระหว่าง Full-time และ Freelance

พนักงานแบบ Full-time คือพนักงานประจำที่ทำงานให้กับบริษัทหรือองค์กรตามเวลาทำการที่กำหนด เช่น วันจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 9.00 – 18.00 น. โดยมีสัญญาจ้างระยะยาว มีเงินเดือนประจำ และสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เช่น ประกันสังคม วันลาพักร้อน และโบนัสประจำปี

ในขณะที่ Freelance หรือที่เรียกกันว่า ฟรีแลนซ์ คือผู้ที่ทำงานอิสระ รับงานเป็นครั้ง ๆ โดยไม่ได้มีสถานะเป็นลูกจ้างขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง ทำให้มีอิสระในการจัดการเวลาและเลือกรับงานตามความสามารถหรือความถนัด แต่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างพนักงานประจำ

ความเหมาะสมในยุคปัจจุบัน

ในปัจจุบันที่การทำงานแบบ Hybrid และ Remote Work กลายเป็นเรื่องปกติ ผู้ประกอบการจำนวนมากเริ่มตั้งคำถามว่า ควรเลือกจ้างพนักงาน Full-time หรือ Freelance ดี โดยมีปัจจัยหลายอย่างที่ควรนำมาพิจารณา เช่น ความต่อเนื่องของงาน งบประมาณ และความเฉพาะทางของทักษะที่ต้องการ

1. ความยืดหยุ่นในการทำงาน

Freelance มักได้เปรียบในเรื่องความยืดหยุ่น องค์กรสามารถจ้างเฉพาะเวลาที่ต้องการ เช่น โปรเจกต์พิเศษ หรือช่วงที่มีงานล้น ทำให้ประหยัดต้นทุนในระยะยาว แต่สำหรับงานที่ต้องการความต่อเนื่องและความมั่นคง เช่น ตำแหน่ง พนักงานขับรถ พนักงานฝ่ายผลิต พนักงานประจำยังคงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า

2. ความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง

ในบางครั้ง Freelance อาจมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางสูง และสามารถเข้ามาเสริมทีมในระยะสั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น นักออกแบบกราฟิก โปรแกรมเมอร์ หรือที่ปรึกษาด้านการตลาดออนไลน์ ซึ่งไม่จำเป็นต้องจ้างประจำ ซึ่ง บริษัทจัดหาพนักงาน สามารถจัดหา Freelance ที่มีคุณภาพได้ ก็ช่วยให้องค์กรประหยัดเวลาและต้นทุนในการสรรหาได้มาก

3. ความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ

หากพิจารณาด้านต้นทุน พนักงาน Full-time อาจมีต้นทุนต่อเดือนสูงกว่า เพราะต้องจ่ายเงินเดือนและสวัสดิการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ Freelance สามารถจ่ายเฉพาะเมื่อมีงาน จึงเหมาะกับองค์กรที่ต้องการควบคุมต้นทุนให้แน่นอน แต่การบริหารจัดการ Freelance จำนวนมากในระยะยาวอาจกลายเป็นภาระด้านการประสานงาน

บริการจัดหาพนักงาน (1)

ข้อดี-ข้อเสียของการจ้างงานแบบ Full-time และ Freelance ในมุมมองของผู้ว่าจ้าง

การจ้างงานแบบ Full-time

ข้อดี

  1. ความต่อเนื่องและเสถียรภาพของงาน
    พนักงานประจำทำงานกับองค์กรอย่างต่อเนื่อง มีความเข้าใจในระบบงาน วัฒนธรรมองค์กร และสามารถดูแลงานระยะยาวได้ดี
  2. สร้างความผูกพันและทีมเวิร์ก
    การมีพนักงานประจำช่วยให้องค์กรสามารถสร้างทีมที่แข็งแกร่ง มีความรับผิดชอบร่วมกัน
  3. บริหารจัดการง่ายกว่า
    ด้วยโครงสร้างการทำงานที่แน่นอน มีหัวหน้างานคอยดูแล ทำให้การติดตามงานและประเมินผลงานทำได้สะดวก
  4. สามารถฝึกอบรมพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
    พนักงานประจำสามารถเข้ารับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะเฉพาะที่องค์กรต้องการได้

ข้อเสีย

  1. ต้นทุนระยะยาวสูงกว่า
    ต้องจ่ายเงินเดือน สวัสดิการ และค่าตอบแทนอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่ไม่มีโปรเจกต์หรือยอดขายลดลง
  2. ใช้เวลานานในการคัดเลือกและฝึกอบรม
    การสรรหาอาจต้องใช้เวลาและทรัพยากรจำนวนมากกว่าจะได้คนที่เหมาะสม
  3. ขาดความยืดหยุ่น
    เมื่อสถานการณ์เปลี่ยน เช่น ต้องลดจำนวนคนหรือลดค่าใช้จ่าย การเลิกจ้างพนักงานประจำอาจต้องมีขั้นตอนทางกฎหมายและมีค่าใช้จ่ายตามมา

การจ้างงานแบบ Freelance

ข้อดี

  1. ความยืดหยุ่นสูง
    เหมาะกับงานเป็นโปรเจกต์ระยะสั้น งานเฉพาะทาง หรือช่วงที่มีภาระงานเพิ่มขึ้นชั่วคราว เช่น งานออกแบบเว็บไซต์ หรืองานกิจกรรมส่งเสริมการขาย
  2. ต้นทุนต่ำกว่าในระยะสั้น
    ไม่ต้องจ่ายสวัสดิการหรือภาษีเงินเดือน มีการจ่ายค่าตอบแทนเฉพาะเมื่อมีงานจริง
  3. เข้าถึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางได้ง่ายขึ้น
    เช่น Freelance ด้านไอที การตลาด หรือการถ่ายภาพ ที่สามารถทำงานได้โดยไม่ต้องอบรมมาก
  4. รองรับสถานการณ์ฉุกเฉินหรือเร่งด่วนได้ดี
    เช่น การหาพนักงานเสริมในช่วงงานอีเวนต์ หรืองานที่ต้องการส่งมอบภายในเวลาอันสั้น

ข้อเสีย

  1. ความต่อเนื่องของงานต่ำ
    Freelance อาจไม่ได้อยู่กับองค์กรตลอด จึงไม่สามารถมอบหมายงานระยะยาวหรือสร้างความผูกพันได้เหมือนพนักงานประจำ
  2. ควบคุมคุณภาพได้ยากกว่า
    โดยเฉพาะเมื่องานต้องการความละเอียด ความร่วมมือ หรือความเข้าใจองค์กรในระดับลึก
  3. อาจมีปัญหาเรื่องความรับผิดชอบหรือการส่งมอบงานไม่ตรงเวลา
    หากไม่มีการตกลงรายละเอียดที่ชัดเจน หรือเลือกผู้รับจ้างที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพ อาจจะมีปัญหาได้
  4. มีความเสี่ยงด้านข้อมูลและความลับทางธุรกิจ
    เนื่องจาก Freelance ไม่ได้เป็นพนักงานในระบบ การรักษาความลับทางธุรกิจอาจต้องใช้สัญญาเพิ่มเติม

บทบาทของ “การจัดหาพนักงาน” ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลง

องค์กรในยุคใหม่เริ่มหันมาใช้บริการของบริษัทจัดหาพนักงานมากขึ้น เพื่อช่วยลดภาระในการสรรหาและคัดเลือกบุคลากร โดยเฉพาะในตำแหน่งที่ต้องการความรวดเร็ว เช่น พนักงานขับรถ พนักงานฝ่ายผลิต หรือพนักงานชั่วคราวในช่วงกิจกรรมพิเศษ

นอกจากนี้ บางองค์กรยังเลือกใช้ บริษัทจัดหาพนักงาน outsource เพื่อให้รับผิดชอบทั้งการจัดหาบุคลากรและการบริหารงานด้านทรัพยากรมนุษย์แบบครบวงจร ซึ่งเหมาะกับองค์กรขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่ต้องการความคล่องตัวและประหยัดต้นทุนด้านการบริหาร

เลือกรูปแบบการจ้างงานอย่างไรให้เหมาะสมกับองค์กร?

ไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่าการจ้างงานแบบ Full-time หรือ Freelance แบบใดดีกว่า เพราะแต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน การพิจารณาเลือกใช้จึงควรขึ้นอยู่กับลักษณะของงาน เป้าหมายขององค์กร และงบประมาณที่มี

องค์กรสามารถเลือกผสมผสานการจ้างงานทั้งสองรูปแบบเข้าด้วยกัน เช่น มีทีมงานประจำที่ดูแลงานหลัก และใช้ Freelance สำหรับงานเฉพาะทางหรือโปรเจกต์พิเศษ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูงสุด

และหากองค์กรไม่มีทีม HR ที่แข็งแกร่งเพียงพอ การใช้บริการจาก บริษัทจัดหาพนักงาน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยประหยัดเวลา ลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสในการได้บุคลากรที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการ

หากคุณกำลังมองหา บริษัทจัดหาพนักงาน ที่ให้บริการแบบครบวงจร เราขอแนะนำ บริษัท พีพีดี เกรทเท็สต์ จำกัด ผู้ให้บริการด้านบริหารทรัพยากรบุคคลแบบครบวงจร (HR Outsourcing) ที่เชี่ยวชาญในการให้บริการจัดหาพนักงานเพื่อสนับสนุนองค์กรทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ด้วยทีมงานมืออาชีพ พร้อมระบบการบริหารจัดการบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ เลือกใช้บริการจาก บริษัทจัดหาพนักงาน outsource ที่คุณวางใจได้

สามารถติดต่อ PPD Greatest ผ่านช่องทางต่าง ๆ ดังนี้

เบอร์ติดต่อฝ่ายการตลาด: 099-2818448

เบอร์ติดต่อสำนักงาน: 02-1270052

อีเมลสำหรับลูกค้า: ppdgreatestdata@gmail.com

อีเมลสำหรับสมัครงาน: ppdrecruit@gmail.com

เว็บไซต์: www.ppdgreatest.com

Line: PPD Greatest